21 Apr
21Apr


Green Book (2018) กรีนบุ๊ค

เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าตลกร้ายที่สร้างจากเรื่องจริงของนักเปียโนแนวแจ๊สคลาสสิกชาวจาเมกา – อเมริกัน ดอน เชอร์ลีย์ เขาต้องออกทัวร์ไปเล่นดนตรีทางตอนใต้กับคนเฝ้าร้านชาวอิตาลี-อเมริกันสุดหัวร้อนอย่าง โทนี วัลเลลองกา ที่มารับหน้าที่เป็นคนขับรถและบอดีการ์ดของเชอร์ลีย์ ซึ่งที่พวกเขาจะไปนั้น เป็นที่ผู้คนไม่ค่อยตอนรับคนผิวสีสักเท่าไร ตลอดระยะการเดินทางมันทำให้พวกเขาสร้างมิตรภาพที่แสนอบอุ่นหัวใจ !!

ใครจะเชื่อเรื่องนี้กำกับโดย Peter Farrelly ซึ่งเคยเป็นผู้กำกับและเขียนบทหนังตลกอย่าง Dumb and Dumber (1994) และหนังรักคอเมดี้อย่าง There's something about mary (1998) ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำหนังฟิวกู๊ดได้ดีขนาดนี้ ดีขนาดสามารถคว้ารางวัลออสก้าได้ถึง 3 ตัว รวมถึงรางวัลใหญ่สุดของงานอย่าง Best Picture ก็ได้มาหมดแล้ว ส่วนทางด้านรายได้ก็ไม่ต้องห่วงจากเงินลงทุน 23 ล้านดอลลาร์ สามารถทำเงินทั่วโลกไปทั้งสิ้น 191.2 ล้านดอลลาร์ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ

ชื่อ Green Book นั้นถูกตั้งชื่อตามหนังสือ The Negro Motorist Green Book เป็นคู่มือในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 สำหรับเป็นคู่มือการเดินทางชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เขียนขึ้นโดย วิกเตอร์ ฮิวโก กรีน ที่ให้ข้อมูลในการค้นหาโมเตลและร้านอาหารที่ต้อนรับพวกเขาในช่วงการแบ่งแยกสีผิว

นี่เป็นหนังออสก้าที่ดูจะเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในรอบหลายๆปีเลยก็ว่าได้ ถึงมันจะไม่ค่อยซับซ้อนเท่าเรื่องอื่นๆของออสก้า แต่มันมีความลึกซึ่งไม่แพ้เรื่องใดเลยทั้งสิ้น

อย่างแรกที่ชอบคือความสัมพันธ์ของตัวละครเอกทั้ง 2 คน ชอบตรงนี้มากเหมือนจะตีกันตลอดเวลาฮามาก แต่ถึงฉากดราม่าก็ทำเรารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ซึ่งทั้ง 2 คนถือว่าแสดงได้ดีมาก เคมีเข้ากันสุดๆจนได้เข้าชิงออสก้าทั้ง 2 คนเลย โดยเฉพาะ โทนี่ ลิป อย่างเกรียนเลย ทั้งถ่อนสถุนใช้กำลังเก่งติดการพนันและชอบเหยียดคนผิวสี แต่เขาเป็นคนนึงที่รักครอบครัวมาก ส่วนอีกคน ดอน เชอร์ลีย์ ผู้ดีแบบสุดๆดูเป็นคนมีการศึกษาสูงไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองจะเข้าใจกันขนาดนี้

ทางด้านงานภาพก็ไม่ธรรมดาให้บรรยากาศของยุค 60 เป็นอย่างดีบวกเข้ากับดนตรีแจ๊สยิ่งฟินไปใหญ่ ซึ่งตรงดนตรีผมมองว่าอาจจะน้อยไปหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่หนังเพลงจ๋าอะไรขนาดนั้นอยู่และ ทางด้านบทภาพยนตร์มันเกือบจะสมบูรณ์แบบที่สุด ถ้าไม่มีข้อครหาจากคนใกล้ตัวของ ดอน เชอร์ลีย์ ว่าเรื่องจริงเขาทั้งสองไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แค่นายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้นแหละ

พูดถึงประเด็นการเหยียดสีผิวและเพศ มันก็เป็นเรื่องที่มีมาอย่างยาวนานจริงๆ ทำไมถึงต้องทำกันขนาดนี้ด้วย แค่เกิดมาก็ผิดละงั้นสิ คิดว่าตัวเองอยู่เหนือทุกคนหรือไง สมัยนี้ยังเจออยู่บ่อยๆนะพวกเหยียดคนอื่นให้ต่ำแล้วตัวเองดูมีความสุข ผมไม่ชอบเลยจริงๆ โดยในหนังมันจะให้เราเห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาแบ่งชนชั้นกันแบบที่เรียกว่าน่ารังเกียจเลย

หลายคนอาจจะงงว่าดูหนังเรื่องนี้ทำไมถึงอยากกินไก่ทอด ผมบอกให้เลยละกัน..........คุณต้องลองไปดูเองนะครับ 555+

#สรุปมันเป็นหนังฟิวกู๊ดที่สนุกมากและแฝงไปด้วยประเด็นต่างๆของสังคมอเมริกาในยุค60

คะแนน 9/10 


Credit nung.io, nung2d.com


Comments
* The email will not be published on the website.
I BUILT MY SITE FOR FREE USING